ฮิอฮากันพอสมควรเมื่อพรรคการเมืองใหญ่ประกาศนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ digital wallet พร้อมเงินในกระเป๋าคนละ 10,000 บาท ให้ประชาชนชาวไทย 50 ล้านคน สิ่งที่ดึงดูดความสนใจคงอยู่ที่ คำกุญแจ สองคำคือ ดิจิทัล และ 10,000 บาท มาดูกันว่าสิ่งที่พรรคการเมืองนี้ประกาศคืออะไร ผลที่จะเกิดขึ้นคืออะไร
กระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่ใช่ของใหม่ “เป๋าตัง” ที่รัฐบาลปัจจุบันสร้างขึ้นมาก็คือกระเป๋าเงินดิจิทัลเช่นกัน นอกจากนั้น ยังมีกระเป๋าเงินดิจิทัลอื่นๆ ที่เอกชนผู้ให้บริการมือถือเปิดให้บริการมาก่อน และอันที่จริงบัญชีธนาคารของคนไทยในปัจจุบันเมื่อใช้งานร่วมกับโมบายแบงกิ้งแอป ซึ่งธนาคารทุกแห่งให้บริการอยู่แล้ว ก็ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่สะดวกและมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในการรับ-จ่ายเงินได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เงินสด การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้การโอนเงินผ่านโมบายแบงกิ้งแอป ไม่มีค่าธรรมเนียมการโอนเงิน นับเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยหรือการโอนเงินอื่นๆ ได้รับความนิยมอย่างมาก แทบจะทำให้ผู้ให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลทั้งหลายไม่มีที่ยืน ประเทศไทยน่าจะอยู่ในแถวหน้าๆ ของประเทศต่างๆ ในโลกในเรื่องของความแพร่หลายของดิจิทัลวอลเลทอยู่แล้ว
พรรคการเมืองพรรคนี้ยังพูดถึง การนำเทคโนโลยี่บล็อกเชนมาใช้ในการสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัลตามนโยบายนี้ โดยอ้างว่ามีความปลอดภัยสูงและไม่ต้องผ่านคนกลาง ต้องยอมรับว่าผู้คนให้ความสนใจ บล็อกเชน ทั้งที่เข้าใจและไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่ จากการเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล เช่นบิทคอยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างผลกระเทบต่อระบบการเงินโลกได้ไม่น้อย แต่เราต้องเข้าใจว่าสกุลเงินดิจิทัลบนบล็อกเชน แพร่หลายเพราะมีประโยชน์ในการโอนเงินนอกระบบ รวมถึงการฟอกเงิน และเนื่องจากมูลค่าของมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงเป็นเป้าหมายของการเก็งกำไร ซึ่งทำให้มูลค่าของมันมีความผันผวนอย่างรุนแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
พรรคการเมืองพรรคนี้พูดถึงการสร้างสกุลเงินดิจิทัลโดยธนาคารกลาง (central bank digital currency) บนโครงสร้างบล็อกเชน เพื่อมาใช้กับกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จะสร้างขึ้นมา แนวทางที่น่าจะเกิดขึ้นตามแนวความคิดนี้ก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้สร้างสกุลเงินดิจิทัลนี้ขึ้นมา เช่น อาจจะเรียกว่า เงินบาทดิจิทัล ซึ่งอาจจะมีค่าเท่ากับเงินบาทที่มีอยู่แล้ว การกระทำเช่นนี้ จะเท่ากับเป็นการ “พิมพ์เงิน” เพิ่มขึ้นในระบบ แล้วให้รัฐบาลกู้ไปใส่ในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จะสร้างขึ้น การ”พิมพ์เงิน”ในรูปแแบบใหม่คงต้องมีกฏหมายรองรับ และถ้ากฏหมายผ่านสถาได้จริง ก็ยังมีปัญหาว่าการกำหนดว่าจะพิมพ์เงินเพิ่มเท่าไรและในรูปแแบบไหน ยังคงเป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐบาลจะสั่งไม่ได้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ในการรักษาเสถึยรภาพทางการเงิน ซึ่งเป็นแกนกลางสำคัญของวินัยทางการเงินของประเทศ การพิมพ์เงินออกมาให้รัฐบาลกู้จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ เพราะจะมีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะทำในกรณีที่เกิดภาวะเงินฝืด ในภาวะเช่นนั้น นอกจากพิมพ์เงินเพิ่มธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีเครื่องมืออื่นๆ เช่น การเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากตลาดมากขึ้น เช่นมาตรการ quantitative easing ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯทำเมื่อไม่กี่ปีก่อน วินัยทางการเงินเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไม่อยากเห็นเงินเฟ้อพันเปอร์เซ็น หรือแม้แต่ล้านเปอร์เซ็นต์เช่นที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นที่ขาดวินัยในการบริหารระบบการเงินของประเทศ
ปัญหาอึกอย่างหนึ่งของสกุลเงินดิจิทัลบนบล็อกเชน ก็คือเทคโนโลยี่นี้มีความเหมาะสมแค่ไหนกับการจัดการกับจำนวนรายการการโอนเงินที่มากมาย เพราะใช้เวลาในการตรวจสอบรายการนานมาก ปัญหานี้อาจแก้ได้ด้วยการปรับอัลโกริซึ่มให้ง่ายขึ้นหรือรัฐบาลลงทุนสร้างเซิรฟเวอร์สำหรับแก้โจทย์เพื่อยืนยันรายการซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของบล็อกเชนด้วยตัวเอง ถ้าทำเช่นนั้นระบบนี้ก็จะมีรัฐบาลเป็นคนกลาง ไม่ใช่เป็นระบบไม่รวมศูนย์และไม่มีคนกลางเช่นบล็อกเชนของสกุลเงินดิจิทัลทั่วไป
พรรคการเมืองนี้อ้างว่า ไทยจะเป็นประเทศแรกๆ ที่สร้างสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมาใช้งานได้สำเร็จ อาจจะตามแค่ประเทศจึน ต้องถามว่าสกุลเงินดิจิทัลของจึนไปถึงไหนแล้ว นอกจากปัญหาเรื่องบทบาทหน้าที่ของธนาคารกลางที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนไป และกระทบกับวินัยการเงินของประเทศ ปัญหาของประชาชนผู้ใช้งานว่าจะได้รับความสะดวกปลอดภัยแค่ไหน ปัญหาการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่รัฐบาลเข้ามาเป็นคนกลางจะเป็นอย่างไร บล็อกเชนอาจจะถูกแฮ็กไม่ได้ง่ายๆ แต่การขโมยรหัสเข้าวอลเลทในบล็อกเชนก็ยังคงเป็นปัญหาความปลอดภัยของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลายในปัจจุบัน
อันที่จริง พรรคการเมืองนี้ ถ้าได้เป็นรัฐบาลอย่างที่คาดหวัง อาจเลือกที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลบนบล็อกเชนโดยไม่ใช้ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยปล่อยให้มูลค่าของเงินบาทดิจิทัลเป็นไปตามกลไกตลาด วิธีนี้รัฐบาลไม่ต้องกู้แบงค์ชาติ ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก ใช้แค่สร้างระบบขึ้นมาซึ่งคงใช้เงินไม่มาก แต่สถุลเงินนี้คงยากที่จะได้รับการยอมรับในการซื้อขายหรือรับจ่ายอื่นๆ
สรุปแล้ว ในความเห็นผม นโยบายนี้เป็นแค่กิมมิกทางการเมือง โดยใช้คำหรูๆ เช่น ดิจิทัล วอลเลท บล็อกเชน เพื่อแสดงว่าพรรคการเมืองนี้เก่ง ทำเป็น ทันสมัย แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วด้วยนวัตกรรม แต่เนื้อแท้คือประชานิยมเดิมๆ ซึ่งทำได้ยากและจะมีปัญหาตามมามากมาย ถึงขั้นทำให้ระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศพังทะลายลงไปได้