รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 มาตรา 237 บัญญัติไว้ดังนี้
“ผู้ สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดกระทำการ ก่อ หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐ ธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิก วุฒิสภา หรือระเบียบ หรือประกาศคณะกรรมการเลือกตั้งซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดย สุจริตและเที่ยงธรรม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
ถ้า การกระทำของบุคคลตามวรรคหนึ่ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารของพรรค การเมืองผู้ใด มีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว มิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ตามมาตรา ๖๘ และในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการ เมืองดังกล่าวมีกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง”
ผู้ ที่คัดค้านรัฐธรรมนูญมาตรานี้ บอกว่า บทบัญญัติเช่นนี้ ไม่ถูกต้องตามหลักการของกฏหมาย ซึ่งควรจะลงโทษผู้ที่ทำผิดเฉพาะตัว เป็นการมุ่งทำลายสถาบันพรรคการเมือง
ผมเห็นแตกต่างครับ
ผมไม่ใช่นักกฏหมายจิงไม่อาจวิจารณ์ได้ว่าการกำหนดให้มีความรับผิดชอบ ร่วมกันของผู้บริหารต่อการกระทำขององค์กรผิดหลักกฏหมายหรือไม่ แต่ก็พอจะมองได้ว่า เจตนารมย์ของบทบัญญัตินี้ค่อนข้างชัดเจน คือต้องการเห็นพรรคการเมือง และวัฒนธรรมทางการเมืองที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในพรรคการเมืองส่วนใหญ่ใน ปัจจุบัน นั่นคือ พรรคการเมืองที่ผู้บริหารพรรคกำหนด ตรวจสอบ ติดตามนโยบายและความเป็นไปต่างๆ ในพรรค และรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่ พรรคการเมืองที่แบ่งเป็น”มุ้ง”หรือ”วัง” (fractins) ย่อยๆ รวมกันเข้ามาเพือผลในการเลือกตั้งและการได้อำนาจ ไม่มีใครต้องการรับผิดชอบกับการกระทำของใคร
ผมมองไม่เห็นว่า บทบัญญัติเช่นนี้ จะทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ หรือทำลายพรรคการเมืองได้อย่างไร ตรงกันข้าม ถ้าพรรคการเมืองใดปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับเจตนารมย์ของบทบัญญัตินี้ พรรคการเมืองนั้นน่าจะเข้มแข็งขึ้นอย่างแท้จริง และคู่ควรกับการได้รับการยอมรับว่าเป็น “สถาบัน” การทำให้แน่ใจว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองของพรรคไม่โกงการเลือกตั้ง น่าจะเป็นความรับผิดชอบต่ำที่สุดที่ทุกพรรคการเมืองต้องมี
แต่ ผมก็ไม่เชื่อหรอกครับว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองทั้งหมดจะสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ผมจึงได้แต่หวังว่า ม. 237 จะยังคงได้รับการปกป้องให้คงอยู่อย่างน้อยอีกสัก 10 ปี ให้พรรคการเมืองแย่ๆ ถูกยุบ เลือกตั้งใหม่ ถูกยุบอีก เลือกตั้งใหม่อีก สัก 2-3 รอบ การเมืองไทยจะเปลี่ยนไปอีกมาก นักการเมืองรุ่นเก่าคงต้องยุติบทบาทไป คนที่สนใจการเมืองแต่ไม่ต้องการลงทุนมหาศาลในการ”เล่น”การเมือง ก็อาจจะเข้าสู่การเมืองมากขึ้น
237 นี่แหละคือยาวิเศษที่กำลังออกฤทธิ และคือความหวังของการเมืองไทย อย่างแท้จริง